วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

รีวิว อุปกรณ์เสริมสำหรับ Apple Pencil


หลักจากรอบที่แล้วจัดตัวปลอกปากกาซิลิโคนสำหรับ Apple Pencilไป
http://www.natsmallhand.com/2017/06/apple-pencil.html


ล่าสุดก็มีโปรโมชั่นใหม่มาอีกแล้วจร้า เหยื่อการตลาดที่แท้จริง
ราคาเท่าเดิม เพิ่มเติมคือของเยอะขึ้น 555
เลยจัดมาสำรองอีกชุด
เพราะรอบนี้นอกจากจะมีปลอกปากกาซิลิโคนแล้วยังมี
สายรัด Adaptor ซิลิโคน Cap และ ฐานสำหรับตั้งปากกา 


สำหรับสายรัด Adaptor เป็นชิ้นที่เราชอบที่สุดเพราะว่ามันใช้งานสะดวกจริง 
เพราะปกติเราต้องเก็บ Adaptor ไว้ในกล่องเล็กเพราะว่ากลัวมันหาย 555
พอมีสายรัดก็สะดวกเลย เลิฟสุดดด

ส่วนซิลิโคน Cap เราว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไรเพราะว่าถ้าเราใส่ปลอกปากกาซิลิโคน เราจะใส่ Cap แล้วไม่พอดี แม้ว่าเราจะสามารถใส่ Cap เขียนได้ด้วยแต่ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ใส่มันจะเขียนลื่นกว่า
สรุปก็ไม่ได้ใช้ เก็บเข้ากรุ

ตัวสุดท้ายของขวัญปีใหม่ ดีงานพระรามแปด นั้นคือ ฐานสำหรับตั้งปากกา นอกจากไว้ใช้วาง Apple Pencil แล้ว ยังไว้วางมือถือได้อีกด้วย

เอาเป็นว่าใครพลาดโปรรอบก่อน รอบนี้ห้ามพลาด คุ้มสุดดดด

✏️ Set ปลอกปากกาซิลิโคนสำหรับ Apple Pencil 
💸  ฿200.- รวมค่าส่งแล้ว


ใครสนใช้ไปตำกันได้ที่
📍AppleSheep เคส ipadpro มีที่เก็บปากกา



วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่ 2

ระหว่างทางเราก็มองผ่านออกนอกหน้าไปพบว่าถนนเปียกฝนแล้วหวังในใจว่าฝนจะไม่ตกลงมาอีก

ผ่านไปประมาณ 45 นาที
🕰
เราก็มาถึง
📍 DT19 Chinatown



เมื่อมาถึงแล้วเราก็มองหาป้าย วัดพระเขี้ยวแก้ว (The Buddha Tooth Relic Temple and Museum) หรือ วัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman Temple) เผื่อดูว่าเราจะต้องออกประตูไหน ( Exit A )
เมื่อเราเดินออกมาแล้วจะพบว่ามีของขายมากมายค่ะ ให้อารมณ์เหมือน china town + สำเพ็ง ของเมืองไทย
ตรงทางออกรถไฟฟ้าที่นี้ค่อนข้างสวยงาม
แนทแนะนำให้หยุดพักเพื่อถ่ายรูป📷กันก่อนนะคะ
จากนั้นเราก็เปิด app google map 🗺 จากมือถือเลยค่ะ (เราสามารถโหลดแผนที่แบบ offline ไว้ล่วงหน้าได้เลยนะคะ)
โดยปลายทางที่เราต้องคือ วัดพระเขี้ยวแก้ว
โดยระหว่างทางเราจะผ่าน
📍 วัดศรีมาริอัมมันกันก่อนที่นี้เป็นศาสนสถานฮินดูอันเก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์
✒️ ที่มา http://www.visitsingapore.com/
เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 7.00 - 12.00 น. และ 18.00 - 21.00 น. 

ถ้าเพื่อนๆคนไหนจะเข้าอย่าลืมเช็คเวลากันก่อนนะคะ
สำหรับเข้าไปชมเพียงรอบๆ เพราะด้านในปิดค่ะ
เนื่องจากไม่ใช่เวลาเข้าชม สำหรับคนที่ใส่ชุดที่ไม่เรียบร้อย เขาจะมีผ้าให้คลุมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ






หลังจากเดินมาสักพักเราก็มาถึง
📍 วัดพระเขี้ยวแก้ว (The Buddha Tooth Relic Temple and Museum)
🚩♥♥♥♥

💸 Free
เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 07.00 - 19.00 น.
💋 เมื่อพวกเรามาถึงทางเข้าวัด ด้านหน้าจะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ โดยเราสามารถหยิบธูป 1 ดอก มาไหว้ก่อนเข้าไปภายในวัดค่ะ (สำหรับค่าธูปมีตู้หยอดเงินสำหรับบริจาคตามศรัทธา)
ภายในวัดจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชั้น และ ชั้นดาดฟ้า
(สำหรับใครที่นุ่งกระโปรงหรือกางเกงขาสั้น เขามีผ้าคลุมบริการค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่าย)
โดยชั้นที่ 1 เมื่อเดินเข้ามาจะพบความอลังการของลานที่ใช้สำหรับประกอบพิธีการทางศาสนา ส่วนกำแพงจะถูกตกแต่งด้วยพระพุทธรูปองค์เล็กๆ โดยหากเราเดินไปที่ด้านหลังจะพบว่าเป็นที่ประทับของเจ้าแม่กวนอิม
ชั้น 2 และชั้น 3 ส่วนใหญ่จะเป็น พิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุโบราณทางทางศาสนา รวมถึงงานศิลปะต่างๆ รวมรวมไว้อย่างมากมาย

ชั้น 4 เขาห้ามถ่ายรูปค่ะ จะเป็นที่สำหรับนั่งสมาธิค่ะ สงบและแอร์เย็นมาก ในบางเวลาเราอาจจะได้ยิน เสียงสวดมนต์จากวัดศรีมาริอัมมัน ก็ฟังเพลินๆดีค่ะ โดยด้านในสุดแนทคาดว่าน่าจะเป็น พระบรมสารีริกธาตุ (สำหรับใครที่จะเข้าไปภายในต้องถอดรองเท้าไว้ด้านและห้ามส่งเสียงดังเด็ดขาด)

ส่วนชั้นดาดฟ้า ตรงทางเข้าจะพบสวนจนถึงทางเข้าของศาลา โดยภายในจะมีระฆังขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณตรงกลาง ส่วนกำแพงก็มีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ อยู่บนกำแพงทั้ง 4 ด้าน



เมื่อสมควรแก่เวลา (พูดเหมือนตารางทัวร์😂)
เราเดินทาง(ด้วยเท้า)ไปต่อกันที่
Maxwell Food Centre ศูนย์อาหารชื่อดังของย่านนี้


 
และแล้วเราก็มาถึง
📍 Maxwell Food Center
🍗 ข้าวมันไก่
🏯 ร้านข้าวมันไก่เทียนเทียน(Tian Tian Hainanese Chicken Rice)
💰 SGD 3.5
🚩 ♥♥♥♥
💋ร้านนี้ถือเป็นร้านข้าวมันไก่ชื่อดัง เพราะนอกจากราคาไม่แพงมากยังอร่อยอีกด้วย ความพิเศษของข้าวมันไก่ในสิงคโปร์นั้นคือ เนื้อไก่มีความเด้ง เนื้อแน่น นุ่ม และชุ่มไปด้วยซอสที่เป็นสูตรเฉพาะของร้าน แต่น้ำจิ้มของไทยอร่อยกว่า

ส่วนน้ำอัดลม 1ขวด + น้ำแข็ง 3 แก้ว
ราคา
SGD 2.4 (2+0.2+0.2)
ปกติสั่งน้ำอัดลมแบบขวดจะฟรีน้ำแข็ง 1 แก้ว
 



ด้วยความที่ฝนตกและพื้นแฉะ อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ เราเลยปรึกษากันว่าจะเดินทางกลับไปที่สนามบินกันกันเลย (แพลนที่เหลือ ล้ม 555)


🕰
โดยเราจะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าที่
📍สถานี DT19 Chinatown (เดินย้อนกลับมาขึ้นสถานีเดิม)
💸 $2.50
ใช้เวลาโดยประมาณ 40 นาที
เราลองใช้รถไฟคนละเส้นกันค่
รอบนี้เราลองกลับเส้น Downtown Line
โดยเราก็มาเปลี่ยนขบวนรถไฟที่ DT35 Expo แล้วก็เดินทางไปที่ CG2 Changi Airport
จากนั้นเราเดินทางย้อนกลับเหมือนตอนที่มาเลยค่ะ
คือนั่งรถไฟข้าม Terminal จากนั้นเราก็เดินผ่าน ตม. เผื่อเข้าไปภายในได้เลยค่ะ เพราะเราได้รับ boarding pass มาแล้ว




จากนั้นก็ เดินมาตามป้าย [Transfer C] ไปจนสุดทางแล้วขึ้นบันไดเลื่อน เราก็จะมาถึง
📍 Plaza Premium Lounge
💸 Free บัตรเครดิต JCB 💳 ( 1 card/1คน)
🚩 ♥♥♥♥♥

💋 Lounge นี้มีปังมากเลยค่ะ เริ่มจากอาหารมีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าวมันไก่ Laksa อาหารของประเทศสิงคโปร์ รวมถึง มีอาหารญี่ปุ่น สลัด และอาหารอื่นๆ รวมถึงตู้เครื่องดื่มแบบอลังการแบบสุดๆ นอกจากนั้น วิวยังดีอีกด้วยเพราะเราสามารถนั่งชิวมองครื่องบินขึ้นลงได้อีกด้วย
รวมถึงยังมีบริการห้องนอนพักและห้องอาบน้ำอีกด้วย ที่สำคัญที่สุด ที่พูดมาทั้งหมดคือฟรีๆๆๆ ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ใครเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ เปิดบัตรเครดิต JCB ติดตัวไว้เลยนะคะ

https://www.global.jcb/en/consumers/platinum/airport-lounge/index.html
เมื่อใกล้เวลาแนทก็เดินออกมานั่งรอที่
📍Gate ค่ะ จากนั้นก็ถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง

🕰
📍สายการบินไทย [Boeing 787 Dreamliner]
📌 SIN-BKK
💸 1,614.40 ดอลล่าร์สิงคโปร์ / 4 คน
( คิดเป็นเงินไทย ฿10,113.82/คน )
( ราคานี้เป็นไฟท์บินจาก SIN-BBK-CTS-BKK-SIN)
(รวมน้ำหนักกระเป๋า 30 kg อาหารบนเครื่อง และเลือกที่นั่งแล้ว)
🚩 ♥♥♥♥

💋 บริการดีตามมาตรฐาน พนักงานส่วนใหญ่เป็นคนไทย
💋 อาหารอร่อยดี ส่วนตัวรู้สึกว่าผัดไชโป้วอร่อยมากกับขนมที่เป็นวุ้นก็อร่อยดีปกติเราไม่ชอบทานวุ้นยังชอบเลย ส่วนพะแนงปลาเฉยๆ
💋 ความสะดวกสบาย ที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3 เครื่องเล็กกว่า BBK-CTS แต่เป็นเครื่องใหม่ มีที่วางขาทำให้รู้สึกนั่งสบายขึ้น และมี USB ให้เสียบชาร์จมือถือให้อีกด้วย

ใช้เวลาประมาณ 1h25min เราก็มาถึง
🕰
📍 Suvarnabhumi Airport
💋 วิธีต่อเครื่องเราก็หาป้าย Transfer ค่ะ ซึ่งป้ายจะบอกว่าให้เดินไปทาง WEST 560m , EAST 240m ดังนั้นเราจะเห็นว่าฝั่ง East จะใกล้กว่า เราจึงเลือกเดินไปทางนั้นค่ะ จากนั้นจะเจอบันไดเลื่อน จะมีคนต่อแถวยาวๆ จะมีเจ้าหน้าตรวจเอกสารก่อนเราขึ้นบันไดไปค่ะ



🕰
จากนั้นเราก็เดินมาที่
📍Gate D1A ซึ่งดูได้จากหน้าจอบนเครื่องได้เลยค่ะ
โดยเดินตามป้าย

จากนั้น เราก็รอขึ้นเครื่อง
🕰
📍สายการบินไทย (Boeing 747-400)
📌 BKK-CTS
🚩 ♥♥♥♥

 💋 บริการดีตามมาตรฐาน
💋 อาหารอุด้งกุ้งอร่อยดี มีของว่างเสริฟด้วยเป็นแซนวิซปูอัดอร่อยมากเลยค่ะ
💋 ความสะดวกสบาย เครื่องใหญ่กว่าเที่ยวบิน SIN-BKK ที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3
คนไม่เยอะค่ะ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด มีปลั๊กอยู่ใต้เก้าอี้

ใช้เวลาประมาณ 6h25min เราก็มาถึง


Day 2
พอลงเครื่องก็เหมือนเดิมค่ะ
วิ่งเข้าห้องน้ำแต่งหน้าแต่งตาซะหน่อย
เดี๋ยวเขาจะตกใจนึกว่า zombie 👻บุกฮอกไกโด 😱
จากนั้นก็เดินไปที่📍ด่านตรวจคนเข้าเมือง
แล้วก็ออกมารับกระเป๋าผ่านด่านตรวจของศุลกากร
เมื่อออกแล้วแนทก็หยิบของที่จำเป็นออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ นั้นคือไม้เซลฟี่และ hot pack!!! นี้คือสุดยอดนวัตกรรมที่แนทภูมิใจนำเสนอสุดๆ มันเป็นถุงร้อนที่ภายในมีสารที่ทำปฏิกิริยา ทำให้เกิดความร้อนขึ้น และบรรจุในซองคล้ายกระดาษเยื่อไผ่ 👩🏻‍🔬


 



จากนั้นก็เดินมาขึ้น
📍รถ BUS
ประมาณ 60 นาที
💸 ¥ 1,030.-

*ปัจจุบันราคา ¥ 1,100.- แก้ไข ณ 17/01/2020
🚩 ♥♥♥♥

💋 ปกติการนั่งรถบัสเข้าเมือง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเดินไปขึ้นสถานีที่ตึกเที่ยวบินภายในประเทศ แต่จริงๆแล้ว เราสามารถนั่งรถเข้าเมืองจากตึกระหว่างประเทศได้เลยค่ะ
(แต่ข้อเสียคือ ถ้าเราขึ้นที่ตึกระหว่างประเทศ เราจะไม่สามารถใช้พวกโปรโมชั่นบัตรเครดิตได้ เพราะเราต้องซื้อตั๋วจากตู้ ไม่มีเคาเตอร์ที่มีพนักงาน)
จากนั้นเราก็มายืนรอรถบัสที่ป้าย 65 ค่ะ ก็จะมีรถบัสมาจอดหลายคัน
เราเลยเดินไปถามคนขับทุกคันเลยค่ะว่า "ไป Susukino มั้ย" ヾ(@°▽°@)ノ




ในที่สุดรถคันที่เรารอก็มา พนักงานขับรถจะลงมาช่วยยกกระเป๋าเราใส่ใต้รถ
จากนั้นเราก็ขึ้นรถได้เลย

บนรถเก้าอี้นั่งกำลังพอดี อึดอัดนิดหน่อย เหมือนนั่งเครื่อง low cost
บริเวณด้านหน้าจะมีจอทีวีคอยบอกป้ายรถเมย์ ค่าโดยสาร โฆษณา
ที่สำคัญบนรถมี Free wifi ด้วย


 
 
🕰
เมื่อลงที่ป้ายรถเมล์แล้วเราก็เดินต่อไปอีกสักพักค่ะ
เพือไปฝากกระเป๋าที่โรงแรม
🕰
พอถึงที่พัก
📍APA Hotel Sapporo Susukino-Ekimae, Sapporo
เราแจ้งเขาว่าจะฝากกระเป๋าค่ะ เขาก็จะขอหนังสือเดินทางของทุกคน
จากนั้น เขาจะให้ใบฝากกระเป๋าพร้อมเขียนเลขที่ห้องให้

พวกเราก็สามารถเดินตัวปลิวเข้าไปเที่ยวกันในเมืองได้เลยค่ะ



โดยระหว่างทางไป Sapporo TV Tower เราก็แวะซื้อของที่
📍ร้าน ¥100 (ร้าน Daiso 5 ชั้น)
10.00 - 21.00
🚩 ♥♥♥♥

💋 ร้านมีทั้งหมด 5 ชั้น แม้ของจะเยอะ แต่ค่อนข้างแคบ ของมีหลากหลาย ถ้าใครมีเวลาก็แนะนำให้แวะมาช๊อปกันได้นะคะ
🕰
จากนั้นเรารีบออกเดิน(เท้า)😁ไปกับที่
📍Sapporo TV Tower
9.00 - 22.00
💸 ¥720.00
🚩 ♥♥♥

 📁ซัปโปะโระทีวีทาวเวอร์
เป็นหอกระจายสัญญาณโทรทัศน์ ด้วยความสูง 142.7 เมตร มีชั้นมวิวสูงสุดที่ความสูง 90.38 เมตร ตั้งอยู่ปลายสุดของสวนสาธารณะโอโดริทางทิศตะวันออก
🖋 https://th.wikipedia.org/
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับชั้นจุดชมวิว
https://www.tv-tower.co.jp/thai/guidance/
💋 ตอนแรกเราแพลนไว้ว่าถ้ามีโปรโมชั่นฟรีของบัตรเครดิต JCB เราถึงขึ้นไปชมวิวด้านบน แต่ปรากฎว่าช่วงที่เราไปไม่มีจร้าาาาา พวกเราเลยถ่ายรูปจากด้านนนอกแทน





ตรงบริเวณหน้า Sapporo TV Tower เป็น
📍สวนสาธารณะโอโดริ
24 ชม.
💸 Free
🚩♥♥♥♥

 📁 สวนสาธารณะโอโดริ
เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมือง มีความยาวถึง 1.5 กิโลเมตร ผ่านอาคารกว่า 12 ช่วงตึกมีพื้นที่รวมทั้งหมด 78,901 ตารางเมตร ในแต่ละปี จะมีงานมากมายมาจัดที่สวนสาธารณะแห่งนี้ อาทิ เทศกาลหิมะซัปโปะโระ
🖋 https://th.wikipedia.org


จากนั้นเราเดินต่อกันมา โดยใช้ App Google Map 🗺 นำทางจนมาถึง





📍 Clock Tower
8.45 - 17.00
💸 ¥200.00
🚩♥♥♥

📁 หอนาฬิกาซัปโปะโระ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นจากไม้ ตั้งอยู่ในเขตจูโอ ออกแบบด้วยศิลปะแบบอเมริกัน เป็นอาคารทรงตะวันตกแห่งหนึ่ง ซึ่งนาฬิกาบนหอยังคงเดินอย่างเที่ยงตรง และมีเสียงระฆังในทุกชั่วโม
🖋 https://th.wikipedia.org/
💋.....แต่เราไม่เข้าอีกเช่นเคยค่ะ 555 อะไรเสียเงินเราถ่ายรูปแค่ข้างนอกพอ



📍 Former hokkaido government office
8.45 - 18.00
💸 Free
🚩 ♥♥♥♥ 
📁ศาลาว่าการเก่าฮกไกโด
เป็นอาคารว่าการเก่าของเกาะฮกไกโดในสมัยจักรวรรดิญี่ปุ่น
อาคารสร้างในปี 1873 ในรัชสมัยเมจิ ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลแบบอเมริกัน
🖋https://th.wikipedia.org/
💋 ศาลาว่าการเก่าฮกไกโดเป็นที่ค่อนข้างเก่า มันเก่าจริงๆ เพราะเวลาเดินขึ้นบันได คุณจะได้ยินเสียงไม้ดัง 555 บรรยากาศภายในค่อนข้างมึดๆ ไม่สว่างมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้มากมาย เพราะภายในมีนิทรรศการให้ชมอีกด้วย


...................................................................................................

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่
 
พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่ 4

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

แจกฟรี แพลนเที่ยวฮอกไกโด ซัปโปโร โอตารุ โนโบริเบทสึ ด้วยตัวเอง


 

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่ 1



พาแม่เที่ยว season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่ 1


Day 1 สุวรรณภูมิ - King Power lounge - jetstar - สนามบินชางฮี (สิงคโปร์) - China town - วัดพระเขี้ยวแก้ว - ศูนย์อาหาร Maxwell - วัดเซียน จู่ กง - วัดเทียนฮกเก๋ง - สิงโตพ่นน้ำ Merlion - สนามบินชางฮี - Plaza Premium Lounge - การบินไทย - สุวรรณภูมิ - ท่าอากาศยานชินชิโตะเซะ (ฮอกไกโด)

และนี้คือแผนในวันแรกของเรา มาชมกันนะคะ
ว่าพวกเราจะเก็บได้สักที่กี่ที่กัน(๑✧∀✧๑)




ทริปฮอกไกโดรอบนี้เราต้องไปเริ่มต้นที่สิงคโปร์ค่ะ 555 งงล่ะสิ (-Ω-メ) เพราะเราซื้อโปรตั๋วเครื่องบินของการบินไทย แต่เราต้องไปเริ่มขึ้นจากสิงคโปร์





🕰 4.45
เช้านี้เราเดินทางไปสุวรรณภูมิโดย...Taxi 🚕
: 45 นาที
💸 : ฿700.- รวมทางด่วนแล้ว
🚩 : ♥♥♥♥❣
💋 : เนื่องจากเป็นเที่ยวบินรอบเช้า พวกเราเลยโทรจองพี่แท็คให้มารับตอนตีห้าคะ แต่มาถึงก่อนตั้ง 15 นาที และพวกเราก็พร้อมแล้ว เลยสามารถออกเดินทางได้ทันท
โดยรวม บริการดีค่ะ ช่วยขนกระเป๋าขึ้นลงรถ พูดจาสุภาพ เอาเป็นว่าถ้าใครบินเช้าแล้วกลัวหาแทคซี่ไม่ได้ แนะนำจองเจ้านี้เลยค่ะ
  ( ˃̣̣̥ω˂̣̣̥ )




ในที่สุดเราก็มาถึง
📍: Suvarnabhumi Airport
💋 : โดยเราเข้ามาทางประตู 3 แถว E เพราะจะมาเช็คอิน สายการบิน Jetstar ✈️

🕰 เปิดให้เริ่ม เช็คอินตั้งแต่ หกโมงนิดๆ
📍 : Check in Jetstar [ BKK - SIN ]
💸 : ค่าตั๋ว ฿1,099.-/คน
ค่าน้ำหนักกระเป๋า ฿1,250.-/50kg
(สำหรับ 3คน ตอนจอง จองเป็นคนละ 25kg 2คน )
รวม ฿4,547.- สำหรับ 3 คน
ส่วนน้องชายบินตามไปตอนเย็นเนื่องจากใช้โปรฟรีแลกแต้มของ Air Asia ส่วนกระเป๋าใช้สิทธิบัตรเครดิตได้กระเป๋าฟรี 20 kg
💋 : ขั้นตอนการเช็คอินก็ไม่มีอะไรยากเลยค่ะ เพียงแค่ยื่น passport ให้พนักงาน จากนั้นเขาจะเอากระเป๋าใบใหญ่ไปชั่งน้ำหนัก แล้วโหลดใต้ท้องเครื่องไป
จากนั้นเขาจะยื่น boarding pass พร้อมแจ้ง
Gate เวลาขึ้นเครื่อง และ เวลาเครื่องออก

แต่.....ครั้งนี้มีความพิเศษกว่าทุกครั้งตรงที่เราซื้อตั๋วไปขาเดียว เจ้าหน้าที่จึงขอดูตั๋วขากลับไทยซึ่งแนทได้ทำการเช็คอินล่วงหน้าของการบินไทยไว้เรียบร้อย ทำให้เรามี boarding pass จากลับจากสิงคโปร์ แต่นางก็มีความงงต่อ เพราะเราไปแค่วันเดียวกลับแต่กระเป๋านี้จัดเต็ม 3 คน ประมาณ 48 โล ♡( ૢ⁼̴̤̆ ꇴ ⁼̴̤̆ ૢ)~ෆ♡ เลยต้องอธิบายนางไปว่ามันเป็นตั๋วโปรโมชั่นของการบินไทย โดยเราจะต้องไปขึ้นเครื่องทีี่สิงคโปร์นั้นเอง
 




🕰
จริงๆก่อนเราไปเช็คอินพวกเราได้
เดินทางไปรับ Pocket WiFi ของ Sanook WiFi
เพราะเรามาถึงก่อนเวลา

📍: สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น B อยู่เยื้องกับประตูทางเข้าออกรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์

: เปิดบริการ 24 Hrs. (คุยผ่านกล้องวงจรปิด 8.00-21.00)

📱 : 099-289-1420

💸 : ฿99.- / 4 day ( โปรโมชั่นจองเครื่องวันที่ 1 และ 16 ของเดือนจะได้ราคานี้)

🚩:
♥♥♥♥
👍 ข้อดีของ wifi ยี่ห้อนี้คือ คิดเงินนับตามวันที่เราใช้จริง คือวันที่เราบินไปถึง ไม่ได้รับจากวันที่เรารับ
👍 วิธีการรับก็ง่ายๆ หลังจากเราสั่งผ่านทางไลน์และชำระเงินเรียบร้อยแล้ว เขาจะส่งบอกเราว่าสามารถรับเครื่องได้แต่วันที่เท่าไร ตู้ล๊อคเกอร์เบอร์อะไร รหัสอะไร
พอถึงวันที่เราเดินทาง เราก็แค่เปิดล๊อคเกอร์ด้วยรหัสที่เขาให้มา โคตรง่าย ให้คะแนนไป สิบกระโหลก

💋 : เนตเร็ว แรงดี ตลอดทริป ชาร์ตแบตแค่วันละครั้งเอง



อุปกรณ์ที่ได้ก็มี
1.ตัว pocket wifi
2.สาย USB
3.หัวชาร์จ
4.กระเป๋า

เมื่อเสร็จภารกิจทั้งหมดทั้งมวลเราก็ได้เวลาผ่านตม. เข้าด้านในสนามบินแล้วค่ะ







ขั้นตอนการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่มีอะไรยากค่ะ

เริ่มแรกสำหรับขาออกนอกประเทศเราจะต้องขึ้นบันไดเลื่อน โดยตรงทางขึ้นเขาจะตรวจ boarding pass และ passport พอขึ้นถึงชั้น 2 เขาจะตรวจเอกสารอีกรอบ จากนั้นจะมีแถวให้เราต่อซื้อเราจะเลือกต่อ ด้านซ้ายหรือด้านขวาก็ได้ค่ะ โซนนี้จะเป็นการตรวจกระเป๋าที่เรา carry on ขึ้นไปบนเครื่อง โดยเราต้องเอากระเป๋าและเครื่องทรงของเรา ฮาาา พวกเสื้อคลุม นาฬิกา มือถือ ต่างๆ ลงในกะบะ (สำหรับกระเป๋าเงินแนะนำให้ใส่ไว้ในกระเป๋าใบใหญ่นะคะ ส่วนเหตุผลลองหาข่าวใน google ดูนะจ่ะ)

จากนั้นเราจะไปยื่นแสกนในเครื่อง หากไม่มีปัญหาอะไรก็ออกมารับกระเป๋าที่ผ่านเครื่องสแกนแล้วเดินลงบันไดเลื่อน

โดยแถวจะแบ่งเป็นสองฝั่ง

ฝั่งซ้ายเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ที่เค้าเตอร์ ฝั่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติค่ะ ถ้าเราเข้าฝั่งนี้เราจะได้ประทับไปบน Passport

ส่วนฝั่งขวาจะเป็นเครื่อง Autogate คนจะน้อยกว่าส่วนวิธีใช้จะมีเจ้าหน้าที่ยื่นอธิบายวิธีใช้อยู่ หากเราใช้งานไม่เป็นเจ้าหน้าที่จะเข้ามาช่วยเหลือค่ะ
โดยวิธีใช้งานคือ
1. นำ Passport เข้าไปแสกนในช่อง
2. นำตั๋วไปแสกนหรือจะพิมพ์เที่ยวบินลงไปก็ได้
3. เมื่อประตูเปิดออก เราก็เดินไปยืนจุดที่เขากำหนดไว้ให้
4. จากนั้นเราก็มองกล้องถ่ายรูป แล้วก็แสกนนิ้วมือ
แค่นี้ก็เรียบร้อย

📍ก่อนเดินทาง เรามีเทคนิคดีๆ มาแชร์ให้เพื่อนๆฟังกันค่ะ

💋ประเด็นแรกคือเรื่อง wifi calling

wifi calling ทำไมโทรผ่าน wifi แล้วทำไมต้องเสียตังค์ งั้นโทรไลน์ก็ได้?

วันนี้ขอมาอธิบายเกี่ยวกับ wifi calling เพราะหลายคนมักเกิดข้อสงสัยและถามว่าทำไมโทรผ่าน wifi
แล้วทำไมต้องเสียตังค์ โทรไลน์ก็ได้ นั้นก็ใช่ค่ะ ถ้าคุณใช้งานในประเทศไทย
แต่ข้อดีของระบบ wifi calling คุณจะเห็นประโยชน์อย่างชัดเจนเมื่อคุณเดินทางไปต่างประเทศ
เพราะคุณสามารถรับสายหรือโทรออกได้เหมือนอยู่ที่ประเทศไทยตามโปรโมชั่นที่คุณมี เพราะถ้าหากคุณเปิด roaming ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า บางคนอาจจะถามว่าไปต่างประเทศโทรไลน์ไม่ได้หรอ? มันได้ค่ะ ถ้าคุณมีบัญชีไลน์ของคนที่คุณที่จะคุยด้วย แต่ถ้าหากคุณอยากจะติดต่อ เบอร์สายการบิน หรือธนาคาร หรือ เบอร์ที่เป็นเบอร์มือถือหรือเบอร์ 02 การโทรผ่านไลน์ก็เป็นข้อจำกัดจริงมั้ยคะ
ดังนั้น wifi calling จะทำให้ค่าใช้จ่ายเวลาคุณอยู่ต่างประเทศนั้นลดลง เพียงแค่คุณหา wifi ฟรี หรือ เช่า pocket wifi ไปก็สามารถใช้งานได้อยู่เหมือนเมืองไทย
ส่วนการใช้ wifi calling ในไทยนั้นก็มีข้อดีอยู่ตรงที่หากพื้นที่ไหนอับสัญญาณ แล้วบริเวณนั้นมี wifi เราก็สามารถใช้บริการนี้ได้เช่นกัน

ถัดมาเรื่อง sms เท่าที่หาข้อมูลมา ais เป็นเจ้าเดียวที่สามารถรับ sms ผ่าน wifi calling ได้
ข้อดีของมันคือ เวลาคุณอยู่ต่างประเทศคุณสามารถทำธุระกรรมทางการเงินได้ เพราะส่วนใหญ่ในการธุรกรรมต่างๆมักต้องมีการรับ OTP แต่แนทก็ไม่มั่นใจว่าเครือข่ายอื่นๆได้มีการพัฒนาให้รับ sms เหมือน ais หรือยัง

สำหรับรุ่นที่รองรับบริการต้องเข้าไปดูรายละเอียดในแต่ละเครือข่าย แต่สำหรับ Dtac และ Ture จะมี app สำหรับใช้บริการนี้จึงทำให้รองรับรุ่นโทรศัพท์ได้มากกว่า

ตรวจสอบรุ่นและรายละเอียดได้ตามลิงค์เลยนะคะ
AIS
http://www.ais.co.th/4g/vowifi/
DTAC
https://www.dtac.co.th/network/wifi-calling.html
TRUE
http://truemoveh.truecorp.co.th/news/detail/198

หวังว่าเพื่อนๆจะมีความเข้าใจในเรื่องของ wifi calling เพิ่มขึ้นนะคะ ꒰๑͒•̀ुꇵ͒•꒱و ̑̑





💋ประเด็นที่สองคือ การโหลด map offline

ด้วยความที่ทริปนี้เราเดินทางไปสองประเทศ

แต่สำหรับสิงคโปร์เราแค่แวะมาเพียงวันเดียว ถ้าจะเช่า pocket wifi ก็ดูจะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

ดังนั้นนอกจากการเตรียมแพลนมาเป็นอยากดีแล้วอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราไม่หลงนั้นคือ แผนที่นั้นเอง

โดย app google map จะยอมให้เรา ดาวน์โหลดแผนที่ไว้ดูโดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตได้ในบางประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์

วิธีการก็ง่ายๆค่ะ
1. เข้าไปที่ app google map 🗺
2. พิมพ์คำว่า สิงคโปร์ ในช่องค้นหา
3. แตะคำว่า สิงคโปร์ด้านล่าง
4. กด ดาวน์โหลด

แค่นี้เราก็สามารถใช้แผนที่โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตแล้วค่ะ

แต่เราไม่สามารถใช้นำทางหรือดูรถโดยสารได้นะคะ
ใช้งานได้เพียงแต่แผนที่เท่านั้น



เมื่อเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้วเป้าหมายต่อไปของเราคือ







📍 : King Power lounge

💸 : Free (บัตรเครดิต Scb King Power)
( 1 card/ 2 คน)

🚩 :
♥♥♥❣

💋 : อาหารค่อนข้างมีหลากหลายค่ะ

ถ้าเรามาช่วงเช้า รายการอาหารที่แนทแนะนำเลยคือ โจ๊กไก่ (ช่วงกลางคืนจะเป็นข้าวต้มไก่)

จะบอกว่าอร่อยมาก โจ๊กเนื้อนุ่มละมุนมาก ***ห้ามพลาด

นอกจากนั้น ช่วงเช้ามามีพวกขนมปังปิ้ง คอนเฟล็ก โกโก้ครั้นอีกด้วย รวมถึงยังมีแซนด์วิช เค้ก และขนมต่างๆ พร้อมขนทัพเหล่าเครื่องดื่มหลากหลายมากให้เราทานอย่างไม่อั้นค่ะ

ที่นั่งมีทั้งแบบโซฟาและแบบโต๊ะ และความแตกต่างอย่างเดียวที่ต่างจาก
lounge เก่า นั้นคือ lounge ใหม่ไม่มีห้องน้ำค่ะ ต้องไปเข้าด้านนอก
 
สำหรับปัจจุบัน King Power lounge มีทั้งฝั่ง west และ east
ซึ่งจริงๆ สำหรับคนที่ขึ้น Jer Star ควรไปทางฝั่ง west ค่ะ

แต่พอดีเราจะใช้สิทธิแลก subway free ของบัตร CITYBANK แนทเลยเลือกมาทานฝั่ง EAST

เมื่อได้เวลาเราก็เดินมารอที่ Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง

📍 : Gate F2

(โดยปกติ หากเราเช็คอินเร็ว เราจะยังไม่ทราบ Gate ซึ่งแนทจะดูผ่าน google now ปรากฏว่ารอบนี้มันไม่ขึ้น Gate สักที พอวิ่งมาดูที่ บอร์ดก็ไม่เจอ แล้วเราต้องวิ่งไปอีกฝั่ง ระหว่างทางเจอพนักงานตรงทางเข้าบริเวณหลัง ตม.ที่เราเขามา จึงเขาไปสอบถาม เขาจึงบอกว่าอยู่ F2 ซึ่งเหลืออีกครึ่งทาง คราวนี้ใกล้ถึงเวลาแล้ววว พวกแนทเลยต้องพา คณะสว.<สูงวัย>เดินเร็ว 4*100 ออกกำลังกายแต่เช้า อิอิ )

พอถึงเวลาประตูเข้า Gate เราก็เดินเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ เจ้าหน้าจะตรวจ boarding pass และ passport เราค่ะ จากนั่นเราก็เข้าไปนั่งรอประตูเครื่องเปิด

เมื่อประตูเครื่องเปิด โดยปกติเขาจะเรียก ผู้โดยสารที่เด็กและที่นั่งชั้น first class ขึ้นไปก่อน แต่ jet star ไม่มีเนอะ เพราะว่าเครื่องบิน Jet Star ที่เราขึ้นนั้นเป็น

📍 Airbus A320

💋 เป็นที่นั่งแบบ 3-3 เป็นเบาะหนังที่นั่งค่อนข้างแคบสำหรับคนอ้วน ส่วนบริการถือว่าโอเคตามมาตรฐานค่ะ แอร์เที่ยวบินนี้เด็กกว่าขึ้นครั้งที่แล้ว หนุ่มน้อยหน้าตาละมุน 😉😉😉 และเที่ยวบินนี้ราคาปกติจะไม่รวมอาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้น ถ้าหิวต้องซื้อทานเอง เพราะฉะนั้นควรจัดเต็มมาตั้งแต่ใน lounge พอขึ้นเครื่องเราได้หลับเลยยยย 😴 อิอิ

🚩
♥♥♥❣

....หลังจากเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ...

🕰

เราก็เดินทางมาถึง ....🛬

📍 Changi Airport (สนามบินชางฮี)

ข้อแนะนำ : พอลงจากเครื่องแนทแนะนำให้เข้าห้องน้ำตรงบริเวณที่เราลงเครื่องเลยค่ะ เพราะคนจะไม่เยอะมาก และสะอาดกว่า บริเวณ ตม. หรือ ด้านนอกค่ะ

วิธีเดินทางไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้นก็ง่ายค่ะ คือเราต้องเดินตามป้าย immigration พอมาถึงแล้วให้ลงบันไดเลื่อนเข้าไปต่อแถวได้เลยค่ะ


  

พอถึงคิวเราก็ยื่น Passport พร้อมใบขาเข้า ( แจกบนเครื่อง ปกติมีวิธีกรอกอยู่ในช่องใส่เอกสารที่เบาะหน้า)

ก่อนเข้าแถวแนทก็บอกพ่อกันแม่ไว้ว่าให้ต่อแถวด้านหลังแนท พอถึงคิว แนทก็เข้าไป
เจ้าหน้าที่ก็ถามว่า
“มาวันเดียวหรอ ? กลับไฟท์กี่โมง ?“
แนทเลย คิดแปปนึง เพราะว่ามึนๆอยู่ แล้วตอบไปว่า
“ประมาณ สามทุ่ม”
พร้อมก้มตัวลงจะไปหยิบเอกสารในกระเป๋า

เจ้าหน้าที่ยกมือ พร้อมบอกว่า
“ไม่ต้อง”
แล้วชี้นิ้วให้ถ่ายรูป

แต่ตอนนั้นหันไปมองพ่อกับแม่ ปรากฎไม่มีใครอยู่แล้ว เราก็เลยตกใจ ทำตัวมีพิรุธ ซะงั้น
‘`,、(((ꏿwꏿ;)))
ตอนนั้น เราก็เบลอจะหยิบกระเป๋าไปเล
เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า
“อย่าเพิ่งแสกนนิ้วก่อน”
ระหว่างนั้นก็เห็นพ่ออยู่แถวใกล้ๆกัน
กำลังมีปัญหากับเจ้าหน้าที่
เพราะเขาให้กรอก ชื่อโรงแรม
จากนั้นเจ้าหน้าที่ของเราเลยบอกเจ้าหน้าที่อีกคนว่า “เขามาวันเดียว”

เจ้าหน้าที่ตรวจพ่อเลยหันมาถามเราว่ามาด้วยกันใช่มั้ย
เราก็พยักหน้า

ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ปั้มตราประทับให้เราเรียบร้อยนั้นก็ถือว่าผ่านเมืองเจ้าสิงคโปร์แล้ววว

แต่แม่หายยยย ก็เลยพยายามมองหาแม่
สักพักนางก็เดินออกมา

นางเล่าว่า เจ้าหน้าที่ถามอะไรไม่รู้นางตอบ “three “ เพราะเข้าใจว่าถามว่ามากี่คน (เคยติวนางตอนทริปไปเกาหลีว่าเจ้าหน้าที่จะถามว่ามากี่คน กับใคร กี่วัน)
ปรากฎจริงๆเจ้าหน้าที่ถามว่า “มาวันเดียวใช่มั้ย” ตอนหลังเลยพอเข้าใจ จึงตอบ “yes”
สรุปก็ผ่านมาได้ไม่มีปัญหาอะไร

“จากนั้นเราก็เดินมารับกระเป๋า (ดูจากบอร์ดได้เลยค่ะ ว่าสายการบินที่เรานั่งมาต้องมารับที่ low ไหน)


เมื่อเดินออกมาแล้วแนทเดินมาเช็คอินสายการบินไทยกันก่อนค่ะ

📍T1 ,Row 4 ,Door 1
สำหรับคนที่เช็คอินล่วงหน้าต้องเข้าไปที่ห้องที่อยู่ด้านหลัง หน้าห้องจะเขียนว่า Early check-in
พอเข้าไปเราก็กดบัตรคิวที่ตู้ เขาจะให้เราเลือกสายการบิน จากนั้นก็รอคิว พอถึงคิว

วิธีก็เหมือนเดิมค่ะ คือยื่น Passport เขาก็จะชั่งน้ำหนักกระเป๋าแล้วยื่น boarding pass ให้เราพร้อมแจ้งรายละเอียด

เมื่อเช็คอินเรียบร้อย เราก็เดินทางเข้าเมื่อไปเที่ยวระหว่างรอกลับมาขึ้นเครื่องตอนเย็นๆ

โดยเราจะเข้าเมืองด้วยรถไฟฟ้า sMRT ที่ Terminal 2 ซึ่งเราสามารถมองหาป้าย Skytrain to T2


ในการเดินทางระหว่าง Terminal นั้นจะมีรถไฟให้บริการ ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ แล้วถ้าเราลองสังเกตดีๆจะพบว่ารถไฟขบวนนี้ไม่มีคนขับ ไฮเทคมั้ยล่ะ 👍🏻
จากนั้นเราก็เดินตามป้าย Train to City

  
🕰
📍 CG2 Changi Airport
💸 $2.50


พอเรามาถึงสถานี เราก็เดินมาซื้อตั๋วที่ตู้ได้เลยค่ะ
ขั้นแรกเราก็เลือกเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นเลือกสถานีที่เราต้องการไป ( Chinatown ) จากนั้นเครื่องจะแสดงราคา แล้วเราก็สามารถเลือกจำนวนคน
เราก็เลือกไปสามคน แล้วเครื่องจะบอกว่าทั้งหมดกี่บาท เราก็หย่อนเงินเข้าไป แล้วตั๋วก็จะออกมา

จากนั้นเราเดินเข้ามาที่สถานีแล้วมาเปลี่ยนขบวนที่ Tanah Merah ชานชาลาที่นี้จะงง??? หน่อยๆค่ะ ต้องพยายามสังเกตป้ายว่าปลายทางที่ต้องการไปคือเส้นไหน

................................................................................................... 
พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่
 
พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่ 4

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

พาแม่เที่ยว Season 2 : รีวิว ท่องเที่ยว ฮอกไกโด ด้วยตัวเอง ตอนที่

แจกฟรี แพลนเที่ยวฮอกไกโด ซัปโปโร โอตารุ โนโบริเบทสึ ด้วยตัวเอง

sharethis